เส้นทางการมาเป็นนักกายบำบัดของผม

จากเหตุการณ์ดราม่าระหว่างโรงพยาบาลกับผู้ป่วยที่ผ่านมา ทำให้เกิดรอยร้าวเล็กๆขึ้นในใจของทั้งสองฝ่าย ผมเลยตัดสินใจนำเอาบทความจากใน facebook ส่วนตัวผม มาขออนุญาติเผยแพร่ให้ทุกๆคนได้อ่านกัน เผื่ออย่างน้อยจะได้ความรู้สึกดีๆติดไปบ้างซักเล็กน้อยก็ยังดี
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เส้นทางการมาเป็นนักกายบำบัดของผม

ถ้าหากโดนถามว่าเพราะอะไรถึงมาเรียนกายภาพบำบัด ผมก็คงจะออกแนวเขินๆทุกครั้งที่จะตอบซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเลี่ยงมาได้ตลอดอาจจะมีเพียงกลุ่มเพื่อนที่สนิทกัน คุณแม่คุณยาย อาจารย์ที่ปรึกษา และก็แฟนของผมแค่นั้นที่รู้ แต่เนื่องจากในห้วงภาวะอารมณ์ปัจจุบันส่งผลให้ผมรู้สึกอยากจะถ่ายทอดประสบการณ์ตรง หรือจะเรียกมันได้ว่าเป็นอัตชีวประวัติของผมที่พลักดันให้ผมก้าวเข้ามาสู่เส้นทางสายนักกายภาพบำบัดในปัจจุบันนี้

ย้อนกลับไปเมื่อราวๆปิดเทอมใหญ่ประมาณมัธยมศึกษาปีที่ 4 กำลังจะขึ้น มันธยมศึกษาปีที่ 5 ณ เวลานั้นผมก็เป็นเพียงเด็กมัธยมปลายธรรมดาคนนึง ใช้เวลาว่างไปกับการเล่นเกมส์ กีฬา ดนตรี หมูกระทะ ทั่วไป แต่แล้ววันนึงน่าจะเป็นช่วงพลบค่ำวันนึงในช่วงหยุดยาว คุณยายของผมท่านได้ทำการจัดระเบียบห้องนอนทองท่านใหม่ ซึ่งในตู้เก็บของของท่านจะทรัพย์สิน สร้อย แหวน อะไรของท่านมากมายบรรจุอยู่ตามมุมนู้นมุมนี้ของตู้บ้าง ผมเห็นของเก่าๆตามประสาเด็กอยากรู้อยากเห็นทั่วไปผมจึงเข้าไปนั่งข้างๆคุณยายแล้วก็ค่อยๆถามว่านั้นคืออะไร นี่คืออะไร ยายผมท่านก็เล่าความทรงจำสมัยแกสาวๆออกไปขับรถเที่ยวกับคุณตาผมที่จังหวัดนู้นจังหวัดนี้ แหวนวงนี้ซื้อมาตอนไปที่นู้นที่นี่ สร้อยเส้นนี้มาจากที่นั้นที่นี่ ท่านก็สาธยายตามประสาคนมากประสบการณ์ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งผมมาสะดุดตรงที่ท่านเล่าว่า คุณตาท่านก็แข็งแรงดีนะ แต่ช่วงหลังๆของคุณตาท่านป่วยเป็นโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต พอผมได้ยินคำนี้เข้าด้วยความที่อาจจะคุ้นๆเหมือนเคยได้ยินผ่านๆแต่ไม่เคยได้สนใจจึงถามคุณยายต่อไปว่า อัมพฤกษ์ อัมพาต มันเป็นโรคยังไง คุณยายท่านก็เล่าว่าอยู่ๆมันจะอ่อนแรงไปเฉยๆ สมัยนั้นก็ดีที่คุณตาท่านเคยเป็นพยาบาลทหารมาก่อน ก็ยังพอหาหยูกหายามากินได้บ้าง ไปนวดบ้าง แต่ก็หมดเงินไปโขเช่นกัน แล้วเราก็ตัดไปคุยเรื่องความทรงจำอื่นๆของคุณยายกันต่อ หากแต่ในห้วงความคิดของผมคำว่า อัมพฤกษ์ อัมพาต มันไม่ได้จบแต่เพียงเท่านี้

ผมเก็บเอาคำว่า อัมพฤกษ์ อัมพาต เก็บไปนอนคิดอยู่หลายคืนเลยทีเดียว จนวันนึงก็ตัดสินใจเอาคำคำนี้ไปหาในเว็ปไซต์ google ว่ามันคือโรคอะไร วันนั้นผมจึงได้รู้จักกับโรค อัมพฤกษ์ อัมพาต แบบคร่าวๆว่ามันคือการอ่อนแรงของร่างกาย แบ่งเป็นสองแบบคือ อ่อนแรงครึ่งซีก กับ อ่อนแรงครึ่งท่อน ซึ่งคำว่าอัมพฤกษ์คืออ่อนแรงแต่ยังพอขยับช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง ส่วนอัมพาตคืออ่อนแรงแบบนอนนิ่งๆบนเตียงเลย นี่คือความเข้าใจคร่าวๆของผมในสมัยนั้น ผมก็ค้นหาต่อว่าสาเหตุมันเกิดจากอะไร ปัจจัยเสี่ยงคืออะไร หานู้นหานี่ไปเรื่อยจนในตอนสุดท้ายก็มาสะดุดกับการรักษาหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กับการหายาแพงๆมารับประทาน หรือไปหาหมอดีๆเก่งๆ นั้นก็คือการ "ทำกายภาพบำบัด" ผมเลยเกิดความสงสัยอะไรคือการทำกายภาพบำบัด? ที่ผ่านมาเคยแค่เจ็บป่วยตามประสาเด็กๆ เคยแขนหักครั้งนึง เคยเป็นหูน้ำหนวก ก็ได้ยามากินตลอด แต่ไม่เคยได้ยินเลยอะไรคือการทำกายภาพบำบัด

ผมจึงได้โอกาสหยิบยกเอาคำว่า กายภาพบำบัด ไปค้นหาต่อค้นพบว่ามันเป็นการรักษาโดยไม่ใช้ยา สมัยนั้นผมก็คิดนะว่า ไม่ใช้ยาจะหายได้ยังไงฟร่ะ แต่พอเริ่มค้นหามากขึ้น ผมก็พบว่าวิธีการทำกายภาพบำบัดไม่ใช่เรื่องที่ห่างไกลจากตัวเราเลย การลุกขึ้นนั่งที่เราทำจนเคยชินแต่สำหรับผู้ป่วยมันคือเรื่องยาก การยืน การเดิน การใช้ชีวิตประจำวันตามปรกติ เป็นเรื่องอะไรที่มันอยู่รอบกายเรานี่เอง พอเข้าใจได้ดังนี้ผมก็รู้สึกว่ากายภาพบำบัดเป็นอะไรที่ใกล้ชิดกับเรามากๆ จนถึงจุดๆนึงที่ผมก็บังเอิญตกตะกอนทางความคิดได้เอง มันเป็นความคิดเพียงแวบเดียว ชั่ววูปราวกับฟ้าผ่าเข้ามาที่กลางใจ เสมือนดั่งรักแรกพบกับสาวรูปงาม เหมือนกลิ่นดอกไม้หอมๆกลางทุ่ง ที่ผ่านเข้ามาเพียงชั่วพริบตาแต่เสมือนมันจะคงอยู่ตลอดไป ในห้วงเวลานั้นผมคิดได้ว่า "แล้วคนไข้ที่เค้าไม่มีเงิน แล้วทำกิจวัตรประจำวันเองไม่ได้เค้าจะอยู่ได้ยังไง? ครอบครัวเค้าจะรู้สึกยังไง? เค้าจะน้อยใจเสียใจจนไม่มีแรงที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปรึเปล่า?" วันนั้นเองที่ผมพบว่า ผมน่าจะช่วยพวกเขาเหล่านั้นในสังคมได้ ผมน่าจะช่วยให้คุณภาพชีวิตของพวกเขาดีขึ้นมาได้ ผมจึงตัดสินใจที่จะเป็นนักกายภาพบำบัดตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา

กาลเวลาที่หมุนผ่านไปทุกวันนี้ผมก็ยังยืนหยัดอยู่ในเส้นทางแห่งความฝัน เป็นนักกายภาพบำบัดในหน่วยงานราชการ หากแต่ความจริงกับความฝันมันไม่เหมือนกันซะทีเดียว ผมอาจจะเป็นแค่นักกายภาพบำบัดตัวเล็กๆคนนึงซึ่งมันไม่ได้มีพลังมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงสังคม เปลี่ยนแปลงโลก ซึ่งมันก็เป็นอะไรที่ฟังดูเวอร์มากๆ แต่สิ่งๆนึงที่ผมพบได้จากโลกแห่งความเป็นจริงนี้เอง ผมสามารถเปลี่ยนชีวิตคนคนนึงได้ คนที่เคยนอนติดเตียงให้เค้ากลับมาลุกนั่งได้อีกครั้ง พาคนที่เคยเดินได้แต่เค้าพลาดจนต้องล้มลงลุกขึ้นเดินอีกครั้ง พาคนที่ทำคุณค่าในการดำรงชีวิตอยู่ของเค้าหล่นหายกลับคืนมาหาเค้าอีกครั้ง ผมพบว่าผมเปลี่ยนสังคมไม่ได้หรอก เปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิตของผู้คนมากมายไม่ได้หรอก แต่ผมทำให้คุณภาพขีวิตของคนคนนึงที่อยู่ต่อหน้าผม ณ ช่วงเวลานี้ดีขึ้นได้ ทำให้คนคนนึงที่หมดหวังไปแล้วกลับมามีหวังได้ ทำให้คนที่ล้มลงไปนอนกองกับพื้นกลับขึ้นมาเดินได้อีกครั้ง ถึงแม้ว่าสังคมจะมองคุณค่าของคนที่เขาพบเจอจาก เงินในบัญชี ยี่ห้อรถที่เขาขับ บ้านหลังใหญ่ที่เขาอาศัยอยู่ ผมก็เป็นอีกคนนึงที่เคยถูกสังคมตัดสินจากสิ่งเหล้านี้ เงินในบัญชีที่ร่อยหรอ รถตลาดธรรมดา เช่าหอพักแถวที่ทำงาน เคยมีบางช่วงเวลาที่ผมท้อ แต่มีสิ่งนึงที่ทำให้ผมไม่เคยถอย รอยยิ้มของใครซักคนที่เราไม่เคยรู้จักกันแต่วันนี้คุณมาเป็นคนไข้ผมผมจะดูแลคุณให้ดีที่สุด คนไข้บางคนที่ยกมือไหว้เราจากหัวใจที่เขามี คำขอบคุณที่ปราศจากน้ำเสียงที่เสแสร้ง รอยยิ้มแห่งความปิติของตัวคนไข้และญาติ สิ่งเหล่านี้แหละเป็นแรงพลักดันที่ทำให้เรายังดำรงอยู่ในวิถีทางและความฝันไม่เคยเถลไถลไปไหน

ผมอาจจะไม่ใช่คนที่รวยเงินตรามากที่สุด
ผมอาจจะไม่ใช่คนที่ขับรถแพงที่สุด
ผมอาจจะไม่ใช่คนที่มีบ้านหลังโตที่สุด
แต่ผม...เป็นคนที่ร่ำรวยความสุขที่สุด

จากใจนักกายภาพบำบัดตัวน้อยๆคนนึง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่